ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิษของกรดกัดแก้ว


rofluoric acid
โดย นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์ (4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)

ชื่อ กรดกัดแก้ว (Hydrofluoric acid) ||||| ชื่ออื่น Hydrogen fluoride solution
สูตรโมเลกุล HF ||||| น้ำหนักโมเลกุล 20.01 ||||| CAS Number 7664-39-3 ||||| UN Number 1052
ลักษณะทางกายภาพ ของเหลว ใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ก่อความระคายเคือง
คำอธิบาย กรดกัดแก้ว หรือ กรดไฮโดรฟลูออริก (hydrofluoric acid) คือสารละลายของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ (hydrogen fluoride) ในน้ำ มีลักษณะเป็นของเหลว ใส มีกลิ่นฉุนแสบ กรดชนิดนี้นิยมใช้ในการกัดแก้วหรือกระจกให้เป็นลาย พิษของกรดชนิดนี้ มีความรุนแรงและอันตรายอย่างมาก เนื่องจากเมื่อหกรดใส่ผิวหนังแล้ว ไม่เพียงแต่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนที่สัมผัสเท่านั้น แต่ยังซึมลึกลงไปกัดกร่อนถึงกระดูกได้ด้วย พิษของกรดกัดแก้ว สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านพิษคือแคลเซียมกลูโคเนต (calcium gluconate)
ค่ามาตรฐานในสถานที่ทำงาน ACGIH TLV (2004): TWA = 0.5 ppm, Ceiling = 2 ppm ||||| NIOSH REL: TWA = 3 ppm, Ceiling = 6 ppm, IDLH = 30 ppm ||||| OSHA PEL: TWA = 3 ppm
ค่ามาตรฐานในร่างกาย ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานในร่างกาย หรือตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarkers) สำหรับประเมินการสัมผัสกรดกัดแก้วที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน การศึกษาบางส่วนเชื่อว่า การตรวจระดับฟลูออไรด์ในเลือดหรือในปัสสาวะของคนที่ทำงานสัมผัสกรดกัดแก้ว อาจพบช่วยประเมินการสัมผัสที่สูงเกินไปได้ อย่างไรก็ตาม ระดับฟลูออไรด์ในเลือดและปัสสาวะนั้นสามารถสูงขึ้นได้จากการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่มีฟลูออไรด์สูงได้ด้วย ผลการตรวจจึงอาจแปรปรวนได้มาก ทำให้แปลผลยาก
แหล่งที่พบ กรดไฮโดรฟลูออริก (hydrofluoric acid) หรือที่นิยมเรียกว่า “กรดกัดแก้ว” นั้น คือสารละลายในน้ำของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ (hydrogen fluoride) ในสภาวะบริสุทธิ์ไฮโดรเจนฟลูออไรด์จะมีสถานะเป็นแก็ส มีฤทธิ์กัดกร่อนได้ และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสารเคมีบางชนิด เช่น ฟลูออโรคาร์บอน (fluorocarbon) และเทฟลอน (Teflon) หากนำมาละลายในน้ำจะได้เป็นกรดกัดแก้ว ซึ่งเป็นกรดที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง ทั้งใช้กัดแก้วและกระจกให้มีลวดลายสวยงาม ใช้กัดกำจัดสนิมออกจากโลหะ ใช้ในกระบวนการผลิตสารกึ่งตัวนำซิลิคอน (silicon semiconductor)
กลไกการก่อโรค ความจริงแล้วกรดกัดแก้วจัดเป็นกรดที่มีฤทธิ์อ่อน (weak acid) เมื่อเทียบกับกรดชนิดอื่น เช่น กรดเกลือ แต่พิษของกรดกัดแก้วนั้น กลับทำให้เกิดอาการรุนแรงได้มาก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง สาเหตุเพราะนอกจากคุณสมบัติระคายเคืองและการทำลายเนื้อเยื่อเฉพาะที่ เหมือนอย่างกรดชนิดอื่นๆ แล้ว ฟลูออไรด์ไอออน (F-) ที่แตกตัวออกมาจากกรดกัดแก้ว ยังมีความสามารถซึมลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อและกระดูกที่อยู่ด้านล่างได้ดี ก่อปฏิกิริยาทำให้เซลล์แตก เนื้อเยื่อที่ตายจะหลอมเหลว (liquefactive necrosis) ฟลูออไรด์ไอออนที่เป็นอิสระเหล่านี้จะจับกับ แคลเซียม (Ca2+) และ แมกนีเซียม (Mg2+) ในกระดูกและในเลือด ทำให้กระดูกถูกกัดกร่อน เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง และระดับแคลเซียมกับแมกนีเซียมในเลือดลดต่ำลงได้ (hypocalcemia and hypomagnesemia) นอกจากนี้เซลล์ที่แตกจำนวนมากอาจปล่อยโพแทสเซียมไอออน (K+) ที่อยู่ภายในเซลล์ออกมา ทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia) ภาวะเกลือแร่ผิดปกติที่เกิดทั้งหมดนี้ สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (cardiac dysrhythmias) และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตได้ นอกจากการสัมผัสทางผิวหนัง ซึ่งเป็นช่องทางการเกิดพิษที่พบบ่อยที่สุดของกรดกัดแก้วแล้ว การสูดหายใจเอาไอกรดเข้าไป การสัมผัสต่อดวงตา และการกินเข้าไปโดยบังเอิญ ก็เป็นช่องทางที่จะทำให้เกิดพิษขึ้นได้เช่นกัน
การเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การรั่วไหลของสารที่ฤทธิ์กัดกร่อนนี้ควรต้องระมัดระวังการระคายเคืองทางเดินหายใจ ดวงตา และผิวหนัง ของผู้ที่เข้าไปกู้ภัยให้มาก กรณีที่รั่วไหลในรูปของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ แก็สจะฟุ้งกระจายไปในอากาศได้ ส่วนกรณีที่รั่วไหลในรูปของกรดกัดแก้ว จะเป็นลักษณะของเหลวหกนองไปกับพื้น แต่ก็ระเหยขึ้นมาในอากาศได้เช่นกัน ชุดที่เข้าไปกู้ภัยควรมีคุณสมบัติป้องกันการกัดกร่อนของกรดได้ และป้องกันการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจกับดวงตาได้ด้วย
อาการทางคลินิก
  • อาการเฉียบพลัน การสัมผัสโดยการสูดดมแก็สหรือไอระเหยของกรดกัดแก้วเข้าไป จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ไอ แสบจมูก แสบคอ หลอดลมตีบ ถ้าสูดดมเข้าไปปริมาณมาก อาจทำให้เกิดปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) และปอดอักเสบ (chemical pneumonitis) ได้ การสัมผัสต่อดวงตาถ้าสัมผัสไอกรดจะทำให้กระจกตาระคายเคืองและอาจเป็นแผล แต่ถ้าสัมผัสน้ำกรดโดยตรงอาจกัดกร่อนอย่างรุนแรง ทำให้กระจกตาทะลุ เนื้อเยื่อตาเสียหาย จนถึงตาบอดได้ การสัมผัสทางผิวหนังเกิดขึ้นได้บ่อยที่สุด ในการทำงานกับน้ำกรดบางครั้งเกิดขึ้นเนื่องจากถุงมือขาด โดยอาจขาดเป็นเพียงรูเล็กๆ ที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น น้ำกรดก็สามารถซึมเข้ามาทำให้เกิดอาการพิษได้ อาการที่เกิดขึ้นจะขึ้นกับความเข้มข้นของน้ำกรดที่ใช้ ถ้าความเข้มข้นสูงถึง 50 – 70 % จะเกิดอาการปวดแสบทันทีที่สัมผัส ถ้าความเข้มข้นต่ำลงมาเป็น 20 – 40 % จะทำให้แสบผิวหนังเล็กน้อย ถ้าความเข้มข้นต่ำลงมาอีกเป็น 5 – 15 % อาจไม่ทำให้รู้สึกแสบผิวหนังเลย การที่กรดความเข้มข้นต่ำไม่ทำให้ปวดแสบผิวหนังนี้เป็นผลเสีย เพราะจะทำให้คนงานที่สัมผัสกรดทนได้ หรืออาจสัมผัสไปโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆ ชั่วโมง ฟลูออไรด์ไอออนที่ซึมลึกลงไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและกระดูกจะออกฤทธิ์ ทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นตามมา การสัมผัสที่ผิวหนังนั้นตำแหน่งที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือที่นิ้วมือ อาการที่เกิดขึ้นคือจะทำให้ ผิวหนังแดง ร้อน บวม ปวดแสบ นานไปผิวหนังตรงที่สัมผัสจะขาวซีด เนื้อเยื่อที่ลึกลงไปจะตาย เมื่อเกิดการกัดกร่อนถึงกระดูกที่อยู่ด้านล่าง จะทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และปวดไม่หาย เมื่อการทำลายเซลล์เนื้อเยื่อและกระดูกเกิดมากขึ้น อาจเกิดภาวะผิดปกติของเกลือแร่ เช่น แคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia) แมกนีเซียมในเลือดต่ำ (hypomagnesemia) และโพแทสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia) ได้ ภาวะเกลือแร่ที่ผิดปกติเหล่านี้อาจทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา จึงควรตรวจระดับเกลือแร่และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในผู้ป่วยที่รับสัมผัสกรดเกลือเป็นปริมาณมากทุกราย ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจากแคลเซียมและแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ในระยะแรกอาจแสดงในคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นลักษณะการยาวขึ้นของช่วง QT (prolonged QT interval) หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น Torsades de pointes ไปจนถึงหัวใจหยุดเต้นได้ ส่วนลักษณะคลื่นไฟฟ้าที่อาจพบจากโพแทสเซียมในเลือดสูงนั้น เริ่มแรกจะมีลักษณะ T wave สูงขึ้น (peaked T) และ P wave ขนาดเล็กลง (small P) หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจเกิดการกว้างขึ้นของช่วง QRS complex (widening of QRS) และนำไปสู่การเสียชีวิตได้เช่นกัน การสัมผัสกรดกัดแก้วโดยทางการกินหรือดื่มนั้น กรดสามารถกัดกร่อนเนื้อเยื่อทางเดินอาหาร ทั้งในปาก คอ หลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้ได้ หากรุนแรงมากอาจทำให้เกิดการทะลุของทางเดินอาหารขึ้นได้
  • อาการระยะยาว ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนของการสัมผัสกรดกัดแก้วในระยะยาว ต่อผลการก่อโรคมะเร็ง หรือผลต่อระบบสืบพันธุ์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในภาวะฉุกเฉิน ยังไม่มีการตรวจเพื่อยืนยันการสัมผัสใดที่มีประโยชน์ในการวินิจฉัยหรือรักษาพิษจากกรดกัดแก้ว การซักประวัติการสัมผัสร่วมกับตรวจร่างกาย ส่วนใหญ่จะเพียงพอที่จะทำให้วินิจฉัยโรคได้ การตรวจที่ช่วยในการรักษาได้แก่ การตรวจระดับเกลือแร่ (electrolyte) ระดับแคลเซียมในเลือด (calcium) แมกนีเซียมในเลือด (magnesium) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยเฉพาะหากเกลือแร่ผิดปกติ ควรตรวจติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง (monitor EKG) การตรวจภาพรังสีทรวงอก (CXR) การทำงานของตับ (liver function test) การทำงานของไต (BUN and creatinine) เป็นต้น
การดูแลรักษา
  • ปฐมพยาบาล นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด ผู้เข้าไปช่วยเหลือควรระวังฤทธิ์กัดกร่อนของกรดด้วย ให้ผู้ป่วยอยู่ในที่อากาศถ่ายเทดี ถอดเสื้อผ้าออก ทำการล้างตัวด้วยน้ำเปล่าให้มากที่สุด ล้างผิวหนังบริเวณที่สัมผัสด้วยน้ำเปล่าให้นานๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตานานอย่างน้อย 15 นาที หรือใช้น้ำประมาณ 4 - 5 ลิตรขึ้นไป ในสถานประกอบการที่ต้องใช้กรดกัดแก้วเป็นประจำ อาจเตรียมเจลลี่ของแคลเซียมกลูโคเนต (2.5 % calcium gluconate gel) ไว้ปฐมพยาบาลด้วยก็ได้ หากมีการเตรียมไว้ ให้ทาไปที่ผิวหนังตรงจุดที่สัมผัสกรดเลยก่อนนำส่งพบแพทย์ จะช่วยลดการทำลายเนื้อเยื่อของกรดลง กรณีสูดดมไอกรดเข้าไป ให้ออกซิเจนเสริม สังเกตการหายใจ ถ้าไม่หายใจให้ใส่ท่อและช่วยหายใจ กรณีกลืนหรือกินเข้าไป ระวังการสำลัก อาจให้กินนมก่อนส่งพบแพทย์ เนื่องจากเชื่อว่านมมีแคลเซียมสูงน่าจะช่วยจับกับฟลูออไรด์ไอออน ทำให้อาการรุนแรงน้อยลงได้ อย่างไรก็ตามหากบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินประเมินแล้วไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าจะเกิดการทะลุของเดินอาหารก็ไม่ควรให้กิน แต่ควรรีบส่งพบแพทย์ทันที
  • การรักษา ตรวจสอบระบบการหายใจของผู้ป่วย หากพบการหายใจล้มเหลวให้ใส่ท่อและทำการช่วยหายใจ ให้ออกซิเจนเสริม ให้สารน้ำหากความดันโลหิตตก ตรวจวัดสัญญาณชีพ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การสัมผัสที่ดวงตา ให้ล้างด้วยน้ำอย่างน้อย 4 – 5 ลิตร ถ้ายังไม่ได้ล้างมา หากสงสัยหรือตรวจพบกระจกตาเป็นแผล หรือมีการทำลายต่อเนื้อเยื่อตา ให้ส่งปรึกษาจักษุแพทย์ การสูดหายใจเอาไอกรดเข้าไป ให้ถ่ายภาพรังสีทรวงอก สังเกตระบบการหายใจ เฝ้าระวังภาวะปอดบวมน้ำที่อาจเกิดขึ้น ถ้าเกิดภาวะปอดบวมน้ำให้รับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล และทำการรักษาต่อไป การสัมผัสทางผิวหนัง ให้ล้างผิวหนังส่วนที่สัมผัสที่ด้วยน้ำ ให้ยาต้านพิษ (antidote) ที่จำเพาะต่อพิษของกรดกัดแก้วคือ แคลเซียม โดยถ้าสัมผัสที่ผิวหนัง ให้ทาเจลลี่แคลเซียมกลูโคเนต (calcium gluconate gel) ที่ผิวหนังส่วนที่สัมผัส การเตรียมเจลลี่ในความเข้มข้น 2.5 % นั้นทำได้โดย ผสมแคลเซียมกลูโคเนต 1 กรัม (ปกติจะเท่ากับ 1 แอมพูล) ผสมกับ เควายเจลลี่ (K-Y Jelly) ปริมาณ 42 กรัม (ปกติเท่ากับ 1 หลอดเล็ก) จะได้ความเข้มข้นประมาณ 2.5 % พอดี ในการรักษาพิษจากกรดกัดแก้วนั้น ปกติจะเตรียมเจลลี่ให้มีความเข้มข้นประมาณ 2.5 – 33 % เมื่อทาเจลลี่แคลเซียมกลูโคเนตแล้ว ควรปิดแผลให้แน่น (occlusive dressing) เพื่อให้เนื้อยาซึมลงไปได้มากๆ หากเป็นการสัมผัสที่มือ อาจเทเจลลี่แคลเซียมกลูโคเนตลงไปในถุงมือยาง แล้วให้ผู้ป่วยสอดมือลงไปแน่นๆ แทนการปิดแผลแน่นได้เหมือนกัน กรณีที่การรักษาด้วยเจลลี่แคลเซียมกลูโคเนตได้ผล ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูกลดลงทันทีภายใน 30 – 60 นาที แต่หากยังมีอาการปวดรุนแรง ต้องเปลี่ยนเป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous injection) หรือฉีดเข้าหลอดเลือดแดง (intra-arterial injection) แทน การฉีดเข้าใต้ผิวหนังนั้น ให้ใช้แคลเซียมกลูโคเนตความเข้มข้น 5 – 10 % ฉีดลงไปใต้ผิวหนัง ตรงที่มีอาการ ใช้เข็มเบอร์ 27 หรือ 30 gauge ฉีด ปริมาณที่ฉีดไม่เกิน 0.5 มิลลิลิตรต่อนิ้ว (0.5 ml/ 1 finger) หรือไม่เกิน 1 มิลลิลิตรต่อตารางเซนติเมตร (1 ml/cm2) ที่ผิวหนังบริเวณอื่น ส่วนการฉีดเข้าหลอดเลือดแดงนั้น ใช้ในกรณีที่มีการสัมผัสบริเวณกว้าง เช่น โดนกรดหกใส่หลายนิ้วหรือทั้งมือ การฉีดควรทำโดยศัลยแพทย์หรือศัลยแพทย์โรคกระดูก ได้จะเป็นการดี การฉีดทำโดยผสม 10 % แคลเซียมกลูโคเนต 10 มิลลิลิตร (ปกติจะเท่ากับ 1 แอมพูล) เข้ากับสารละลาย 5 % เดกโตรสในน้ำ (D5W) ปริมาณ 50 มิลลิลิตร หยดหรือฉีดช้าๆ (infusion) นาน 4 – 6 ชั่วโมง เข้าทางสาย (catheter) ที่ใส่ผ่านหลอดเลือดแดงเรเดียล (radial artery) หรือเบรเคียล (brachial artery) ก็ได้ ต้องดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในช่วงที่ฉีด และอย่างน้อยอีก 4 – 6 ชั่วโมงถัดมา ปกติถ้าได้ผลอาการปวดจะหายไป ถ้าหลังฉีดมีอาการปวดขึ้นมาอีก สามารถให้ซ้ำได้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากการฉีดเข้าทางหลอดเลือดแดงแล้ว การฉีดแคลเซียมกลูโคเนตเข้าทางหลอดเลือดดำ โดยการทำเทคนิคพิเศษเรียกว่าวิธีไบเออร์ (Bier block) ก็เชื่อว่าได้ผลดีเช่นกัน (หมายเหตุ ในการฉีดแคลเซียมเข้าใต้ผิวหนังและเข้าหลอดเลือดแดงนี้ อย่าใช้แคลเซียมในรูปแคลเซียมคลอไรด์ฉีดเพราะจะทำให้เนื้อตายมากขึ้น) ส่วนการรักษากรณีที่ตรวจพบมีภาวะเกลือแร่ผิดปกติขึ้น ถ้ามีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ หรือโพแทสเซียมในเลือดสูง ให้ฉีด 10% แคลเซียมกลูโคเนต (10% calcium gluconate) ปริมาณ 0.2 – 0.4 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม (ml/kg) เข้าทางหลอดเลือดดำ หรืออาจใช้ 10% แคลเซียมคลอไรด์ (10% calcium chloride) ปริมาณ 0.1 – 0.2 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม (ml/kg) เข้าทางหลอดเลือดดำก็ได้ ถ้ามีแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ให้ประเมินอาการ ถ้ามีหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะแบบ Torsades de pointes หรือมีอาการหัวใจหยุดเต้น หรือชัก ให้ฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) 1 – 2 กรัม เข้าทางหลอดเลือดดำ โดยฉีดเข้าภายในเวลา 5 – 20 นาที สำหรับการสัมผัสทางการกินนั้น ถ้าผู้ป่วยกินกรดกัดแก้วมา ให้ประเมินไว้ว่าเป็นภาวะอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้เสมอ ควรประเมินอาการดูว่า จะมีภาวะทางเดินอาหารทะลุหรือไม่ เช่น ตรวจร่างกายทางหน้าท้องผู้ป่วย ถ่ายภาพรังสีท้องในท่าตั้งเพื่อดูเงาอากาศ (free air) ถ้ามาเร็วอาจใส่ท่อเข้าทางจมูก (NG tube) แล้วดูดน้ำในกระเพาะออก ระวังอย่าให้สำลัก ไม่ให้ผงถ่านกัมมันต์ แต่ควรส่งปรึกษาศัลยแพทย์ หรืออายุรแพทย์โรคทางเดินอาหาร เพื่อมาประเมินอาการ และทำการส่องกล้องดูภายในทางเดินอาหารต่อไป ในกรณีการกินกรดกัดแก้วนี้ ต้องระวังการเกิดความผิดปกติในเรื่องระดับเกลือแร่ และอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะเช่นกัน   
การป้องกันและเฝ้าระวัง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันตามหลักอาชีวอนามัย ถ้าสามารถใช้สารเคมีอื่นแทนได้ที่ปลอดภัยกว่าควรหามาใช้ ถ้าจำเป็นต้องใช้กรดกัดแก้วทำงานจริงๆ ควรใช้ระบบปิด ลดการสัมผัส พนักงานที่ทำงานต้องมีความรู้ และป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี กิจการที่ต้องใช้กรดกัดแก้วบ่อยๆ เช่น งานฝีมือกัดแก้วหรือกระจกเป็นลวดลาย ต้องให้ความรู้แก่พนักงาน อาจเตรียมยาต้านพิษ คือเจลลี่แคลเซียมกลูโคเนตไว้ปฐมพยาบาลด้วยก็ได้ การเฝ้าระวัง แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ควรตรวจสุขภาพ โดยเน้นการสอบถามอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ ดวงตา และผิวหนัง รวมทั้งให้ความรู้ถึงพิษภัยของกรดชนิดนี้แก่พนักงานด้วย
เอกสารอ้างอิง
  1. Olson KR, Anderson IB, Benowitz NL, Blanc PD, Clark RF, Kearney TE, et al. Poisoning & drug overdose. California Poison Control System. 5th ed. New York: McGraw-Hill 2004.
  2. Minnesota Poison Control System. Hydrofluoric acid (HF) Burns. [cited 4 Jul, 2011]; available from:http://www.mnpoison.org

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biological marker

ในการดำเนินงานด้านอาชีวเวชศาสตร์นั้น การตรวจยืนยันการสัมผัสสารเคมีด้วยตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biological marker หรือ biomarker) เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง บทความนี้เป็นบทความที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เขียนไว้นานพอสมควรแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงจะขอนำมาลงเผยแพร่ไว้ค่ะ ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ  (Biomarker) นพ.วิวัฒน์  เอกบูรณะวัฒน์ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ รพ.สมิติเวช ศรีราชา บทนำ ในการทำงานทางด้านอาชีวอนามัยนั้น การดูแลสุขภาพผู้ที่สัมผัสสารเคมีต่างๆ ในที่ทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งการดูแลสุขภาพผู้ที่ทำงานสัมผัสสารเคมีนั้น วิธีหนึ่งคือการเฝ้าระวังทางสุขภาพ ซึ่งหมายถึงการประเมินเป็นระยะ เพื่อจะได้ทราบว่าพนักงานมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีจนเป็นอันตรายแล้วหรือยัง เราจะประเมินการสัมผัสสารเคมีของพนักงานได้อย่างไร ? ตอบ : ทำได้โดยใช้ข้อมูลจากหลายทาง คือ สอบถามจากพนักงานโดยตรง (ถามอาการเช่น เคืองตา , เวียนหัว, แสบจมูก ฯลฯ) ตรวจร่างกายพนักงาน (ดูอาการเช่น ซีด , ตัวเหลือง, จิตประสาทสับสน ฯลฯ) ตรวจวัดปริมาณสารเคมีในสิ่งแวดล้อม  (environmeatal mo

ระเบียบปฏิบัติทีมพยาบาลบริษัทพณาอาชีวอนามัย

บททั่วไป 1.     บริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติมกฎระเบียบ และข้อบังคับเพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ต้องให้สอดคล้องกับ พรบ. กฎหมายแรงงานทุกประการ 2.     สถานประกอบการหมายถึง “ผู้ว่าจ้าง” ที่ทำสัญญาจ้างแพทย์/พยาบาล ห้างหุ้นส่วนสามัญพณาอาชีวอนามัย โดยในสถานะ “ผู้รับจ้าง” 3.     บริษัทหมายถึง ห้างหุ้นส่วนสามัญพณาอาชีวอนามัย 4.     พนักงานฝ่ายการพยาบาลหมายถึง พนักงานท่เข้าประจำการห้องพยาบาลของสถานประกอบการ ประกอบด้วยพนักงาน Full time รายวัน และพนักงาน past time รายวัน 4.1     พนักงาน full time หมายถึงบุคคลที่เข้าไปปฏิบัติงานประจำห้องพยาบาลของสถานประกอบการโดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษํทฯ ตามวันที่ปฏิบัติงาน 4.2     พนักงาน past time รายวัน หมายถึง บุคคลที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลของภาครัฐ-เอกชน โดยบริษัทฯ ตกลงให้เข้าไปปฏิบัติงานประจำห้องพยาบาลของสถานประกอบการ ซึ่งจำนวนวันทำการไม่แน่นอน โดยได้รับค่าตอบแทนจากบริษํทฯ ตามวันที่ปฏิบัติงาน การว่าจ้างพนักงานฝ่ายการพยาบาล คุณสมบัติของพนักงาน 1.     จบการศึกษาระ